จำนวนผู้เข้ามาเยี่ยมชม

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

๘๐ ปี เปลี่ยนการปกครองไทย ประชาชนได้แค่ “เปลือกประชาธิปไตย”



๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง “คณะราษฎร์” ได้ทำยึดอำนาจ และมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็น การปกครองระบบประชาธิปไตย โดยการรวมตัวกัน ทั้งพลเรื่อนและทหาร หลักจากทำการยึดอำนาจ ได้มีการประกาศคณะราษฏร์ ฉบับที่ 1 ซึ่งเป็น หลัก 6 ประการของคณะราษฎร  
๑)  จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในบ้านเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้มั่นคง
๒)  จะรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
๓)  จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่ จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
๔)  จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่)
๕)   จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวแล้วข้างต้น
          ๖) จะต้องให้มีการศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
           จนถึงวันนี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ครบ ๘๐ ปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบบประชาธิปไตย ที่ต้อง ผ่านร้อน ผ่านหนาว และ หลายชีวิตที่ต้องสังเวยไปอย่างไม่มีวันกลับ กับคำว่า “ประชาธิปไตย” สิ่งเหล่านั้น นับตั้งแต่วันที่เริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทย คนไทยได้มากน้อยแค่ไหน จากผู้ปกครอง ที่เรียกว่า “นายกรัฐมนตรี”
          “ประชาธิปไตย” ที่ต้องผ่านการก่อการกบฏ /ยึดอำนาจและ รัฐประหาร มาถึง ๒๘ ครั้ง  มีการแย่งชิงอำนาจ ในการเข้าปกครองประเทศ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งจากยึดอำนาจทหารและ จากประชาชน ที่ฝากเป็นลอยแผลไว้ให้กับสังคมไทย ไม่เคยเลือนหายไปประเทศไทย
“ประชาธิปไตย” ที่ต้องผ่าน ธรรมนูญและ รัฐธรรมนูญ มาถึง ๑๘ ฉบับ ทั้งฉบับเผด็จการ และจากตัวแทนประชาชน กฎหมายสูงสุด ที่ไม่เป็นที่ยอมรับ ของผู้มีอำนาจ จนต้องมีการฉีก กันครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อสนองกับความต้องการ ของผู้เข้าครองอำนาจ แม้ว่าหลายบทหลายมาตรา พัฒนาไปแนวทางที่ดีขึ้นแต่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าพอใจ สำหรับนักการเมืองที่มุ่งหวัง แต่ผลประโยชน์ ของกลุ่มตัวเอง
“ประชาธิปไตย” ที่มี นายกรัฐมนตรี ถึง  ๒๘ คน จาก นายกฯ ที่บริหารราชการแผ่นดินมากที่สุดถึง ๑๒ ปีกว่า  และ นายกรัฐมนตรี ที่บริหารราชการแผ่นดิน ที่น้อยที่สุด เพียง ๑๗ วัน
และ “ประชาธิปไตย” ที่มี คณะรัฐมนตรี ถึง     ๖๐ ชุด ที่เข้าบริหารราชการแผ่นดิน

จนถึงวันนี้ แม้หลายสิ่งหลายอย่างจะได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้มีการเปิดกว้างมากขึ้น ระบบการตรวจสอบ ที่มีมากขึ้น  แต่หลายสิ่งหลายอย่างกลับย่ำอยู่กับที่ และหนักกว่าเดิม จากเมื่อ ๘๐ ปีที่แล้วการ “ทุจริตคอรัปชั่น” ที่ไม่เคยจางหายไปจาก ผู้มีอำนาจปกครอง และซ้ำร้าย กลับยิ่งทวีคูณและซับซ้อน มากยิ่งกว่าเดิมเท่า การแย่งชิงอำนาจกัน เพื่อให้ได้มาซึ่ง “อำนาจการปกครอง”  ของพวกพ้องตัวเอง ทำทุกวิถีทาง ที่จะอยู่ในอำนาจ โดยไม่สนใจคุณธรรมจริยธรรม และความถูกผิด
 ๘๐ ปี  หากเปรียบกับชีวิตคน คนหนึ่งก็เข้าสู่วัยชรา ผ่านประสบการณ์ มามากมาย ในชีวิต  แต่สำหรับ ๘๐ ปี กับการปกครอง ระบบประชาธิปไตยของไทย ที่ผู้ปกครองหยิบยืน ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน เพียงแค่ “เปลือกของประชาธิปไตย”  คนไทยจำนวนไม่น้อย จึงรู้จักคำว่า “ประชาธิปไตย แค่การเลือกตั้ง”  

ประชาธิปไตย “สามวินาที่” แค่เข้าคูหาแล้วกาบัตร หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่นักการเมือง
ประชาธิปไตย ที่ยึดเสียงข้างมาก ที่ไม่คำนึงถึงความถูกต้องถูกผิด คุณธรรมจริยธรรม
ประชาธิปไตย ที่เอาเสียงข้างมากลากไป แล้วสามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
แล้ว “ประชาธิปไตย” คืออะไรหน๋อ!!!!!!
เลือกตั้งแต่ละครั้ง ต้องจ่ายเงินหัวละ ๕๐๐ บาท ใช่ไหม๊??
เลือกตั้งแต่ละครั้ง ต้องจดชือ ส.ส. เข้าไป กาใช่ไหม๊???
เข้าไปนั่งในสภา ยกมือตามคำสั่ง ของผู้จ่ายเงินใช่ไหม๊??
เข้าไปบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้พวกพ้อง ตัวเองได้ประโยชน์ ใช่ไหม๊??
กำหนดกฎ กติกา เพื่อให้พวกตัวเองได้ประโยชน์ ใช่ไหม๊??
หากไม่ใช่พวกตัวเอง ทำอะไรผิดทุกอย่างใช่ไหม๊???

       หากวันข้างหน้า เราอยากให้ประเทศมี “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง
           
            ขอ “วันนี้”  เราอย่าทำเป็นธุระไม่ใช่ได้ไหม๊!! ...
            ขอ “วันนี้”  อย่าปล่อยให้ ประเทศขึ้นอยู่กับนักการเมืองได้ไหม๊!!! 
       และขอ “วันนี้”   อย่าปล่อย ให้ “คนโง่” ขยันทำ "ผิด" ได้ไหม๊!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น